Last updated: 28 มี.ค. 2568 | 216 จำนวนผู้เข้าชม |
การขับขี่ยานพาหนะให้ปลอดภัย หนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ การใช้ความเร็วรถระหว่างขับขี่ เพราะอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการใช้ความเร็วสูงเกินกำหนดจนไม่สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันจึงได้มีการออกกฎหมายเพื่อจำกัดความเร็วของยานพาหนะแต่ละชนิดในแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน รวมถึงลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
ในบทความนี้ APRTECH จะมาแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายความเร็วรถล่าสุดที่ผู้ขับขี่ควรรู้ ว่ารถแต่ละประเภทควรใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกินกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมถึงอัตราค่าปรับหากฝ่าฝืนความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด
เนื่องจากผู้ขับขี่บางกลุ่มนิยมใช้ความเร็วสูงในการขับขี่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการใช้รถใช้ถนนอย่างมาก จึงมีกฎหมายกำหนดความเร็วในการขับขี่รถ เพื่อเป็นมาตรฐานและสร้างความปลอดภัยให้กับทุกคนบนท้องถนน โดยกฎหมายจำกัดความเร็วมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน ไม่ว่าจะเป็น
ความเร็วที่สูงขึ้นทำให้การควบคุมรถทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพถนนที่ไม่ดี การลดความเร็วในการขับขี่จะช่วยเพิ่มระยะเวลาในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึง
การขับรถด้วยความเร็วสูงในพื้นที่ชุมชนยังเป็นอันตรายต่อคนเดินเท้า คนขี่จักรยาน และผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ เนื่องจากถนนชุมชนมักมีพื้นที่แคบ หากขับรถเร็วเกินกำหนดจะไม่สามารถหยุดรถหรือหักหลบได้ทัน นอกจากนี้ หากเกิดอุบัติเหตุ แรงปะทะของรถจะสูงขึ้นตามความเร็ว ทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงกว่า
หากไม่มีการกำหนดความเร็วสูงสุดสำหรับการขับขี่ ผู้ขับขี่อาจเลือกขับด้วยความเร็วสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุต่อรถบางประเภทที่ต้องใช้ความเร็วต่ำ การออกกฎหมายกำหนดความเร็วในการขับขี่รถ จะช่วยควบคุมการจราจรให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น
ในเขตกรุงเทพฯ เมืองพัทยา และเขตเทศบาล ถือเป็นเขตเมืองและเขตชุมชนที่มีผู้อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องจำกัดความเร็วการขับขี่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่อผู้คนที่เดินสัญจรไปมา โดยกฎหมายได้ระบุความเร็วในการขับขี่สำหรับยานพาหนะแต่ละประเภท ดังนี้
รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรวมเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือรถบรรทุกคนโดยสาร เช่น รถสองแถว รถเมล์ หรือรถโรงเรียน ที่มีผู้โดยสารเกิน 15 คน จะสามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกจากนี้ หากเป็นรถที่ใช้ลากจูงรถยนต์สี่ล้อหรือรถยนต์สามล้อ ให้ขับได้ไม่เกิน 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง
รถยนต์ทั่วไป สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง และอาจมียกเว้นในบางเส้นทาง ที่สามารถขับได้สูงสุดถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงตามป้ายกำหนด
รถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยกเว้นรถจักรยานยนต์ขนาด 400cc ขึ้นไป สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่และลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ ตามข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการจำกัดความเร็วและห้ามใช้เสียง ในเขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2567 ได้มีการกำหนดเกณฑ์อัตราความเร็วรถเพิ่มเติมดังนี้
- จำกัดอัตราความเร็วของรถไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง และห้ามใช้เสียงบริเวณโดยรอบเขตพระราชฐาน ได้แก่ ถนนราชดำเนินใน, ถนนหน้าพระธาตุ, ถนนพระจันทร์, ถนนหน้าพระลาน, ถนนสนามไชย, ถนนกัลยาณไมตรี, ถนนท้ายวัง, ถนนมหาราช, ถนนราชินี และถนนเศรษฐการ
- จำกัดอัตราความเร็วของรถไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนถนนทุกสายในกรุงเทพฯ ยกเว้น ถนนวิภาวดีรังสิต, ถนนบางนา-ตราด, ถนนศรีนครินทร์, ถนนพหลโยธิน, ถนนรามอินทรา, ถนนราชพฤกษ์, ถนนบรมราชชนนี, ถนนกัลปพฤกษ์, ถนนร่มเกล้า, ถนนสุวินทวงศ์, ถนนแจ้งวัฒนะ, ถนนพระรามที่ 3 และถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (ตัดใหม่) ซึ่งเป็นถนนสายหลักและออกแบบให้รถวิ่งด้วยความเร็วสูงได้
ทางหลวงและทางพิเศษ เป็นถนนที่ออกแบบให้มีหลายเลน อีกทั้งยังอยู่นอกพื้นที่ชุมชน ทำให้รถสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงได้ เพื่อลดการติดขัดของจราจร โดยกฎหมายกำหนดความเร็วในการขับขี่รถสำหรับยานพาหนะแต่ละประเภท ดังนี้
รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรวมเกิน 2,200 กิโลกรัม และรถบรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยกเว้นหากเป็นรถโรงเรียนหรือรถนักเรียน สามารถใช้ความเร็วได้สูงสุด 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง
รถยนต์โดยสารทั่วไป สามารถใช้ความเร็วรถได้ไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง และหากเป็นรถยนต์ลากจูงรถพ่วงหรือรถยนต์สามล้อ จะจำกัดความเร็วขับขี่ไม่เกิน 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สำหรับการขับขี่บนทางหลวง รถจักรยานยนต์ สามารถใช้ความเร็วในการขับขี่ได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง และรถจักรยานยนต์ขนาด 400cc ขึ้นไป สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนบนทางมอเตอร์เวย์ตามกฎหมายไม่อนุญาตให้รถจักรยานยนต์ใช้งาน เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ได้กำหนดเอาไว้ว่า ผู้ใดฝ่าฝืนความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท สำหรับยานพาหนะทุกประเภท โดยสามารถแบ่งอัตราค่าปรับตามลักษณะการกระทำผิด ดังนี้
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายระหว่างการใช้รถใช้ถนน ผู้ขับขี่จึงควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้
ควรขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกินตามที่ป้ายระบุไว้ และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะในแต่ละพื้นที่จะมีลักษณะของสภาพแวดล้อม และสภาพถนนที่แตกต่างกัน หากขับขี่เร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเหตุไม่คาดฝัน
โดยทั่วไปเราสามารถใช้ความเร็วได้สูงสุดไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากขับขี่บนถนนหลวง ทางด่วน หรือถนนต่างจังหวัดที่สามารถทำความเร็วได้ แต่หากเข้าสู่พื้นที่ชุมชนหรือพื้นที่จำกัดความเร็ว ควรลดความเร็วในการขับขี่เพื่อความปลอดภัย
ผู้ขับขี่ควรรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าในระยะที่พอดี และควรควบคุมความเร็วไม่ให้สูงจนเกิดไป เพราะหากรถคันหน้ามีการเบรกกระชั้นชิด อาจทำให้กะจังหวะในการหยุดรถไม่ทัน และเกิดอุบัติเหตุตามมาได้
การขับรถให้ปลอดภัย ผู้ขับขี่จำเป็นต้องมีสติอยู่เสมอ หากพบเหตุการณ์กระทบกระทั่ง เช่น ถูกบีบแตร ถูกขับปาดหน้า หรือถูกขับรถจี้ ควรหลีกเลี่ยงการปะทะและสงบสติอารมณ์ ไม่ควรเร่งความเร็วเพื่อขับตาม เพราะอาจนำไปสู่อุบัติเหตุหรือเหตุการณ์อันตราย
หลาย ๆ ครั้งอุบัติเหตุบนท้องถนนอาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในขณะที่ขับรถด้วยความเร็วสูง เช่น ยางระเบิด รถเสียหลักลื่นไถล หรือเบรกแตก ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการบำรุงรักษาระบบเบรก ยางรถยนต์ เครื่องยนต์ และแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้งานเสมอ ไม่เสียเวลากับปัญหารถสตาร์ทไม่ติด ไม่ต้องมารีบขับเร็วทำเวลาบนถนน
การจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ยางเสื่อม น้ำมันเสื่อม และปัญหาที่พบบ่อยคือแบตเตอรี่เสื่อม ส่งผลให้สตาร์ทรถไม่ติด เนื่องจากแบตเตอรี่คายประจุอย่างต่อเนื่องจนหมด รถสตาร์ทไม่ติดในช่วงที่จอดนาน ซึ่งอาจทำให้ระบบไฟฟ้าของรถไม่เสถียรและกล่อง ECU ของรถเกิดความเสียหายได้ การใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์สามารถช่วยแก้ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมได้อย่างตรงจุด โดยไม่จำเป็นต้องนำรถออกไปขับให้เสียเวลา หรือสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าเดิม
ดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานยาวนานเต็มประสิทธิภาพ ด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถ CTEK จากสวีเดน เจ้าของเทคโนโลยีลิขสิทธิ์ที่ได้รับความไว้วางใจผลิตเครื่องชาร์จแบตฯ ให้กับรถยนต์ชั้นนำมากที่สุดในโลก เช่น Mercedes-Benz, Porsche, Rolls-Royce, Lamborghini, Ferrari, McLaren, Bentley, Maserati, BMW, Mini, Audi, Jaguar, Lexus, Koenigsegg, Chrysler, Jeep และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยรุ่นที่แนะนำคือ CTEK MXS 5.0 เครื่องชาร์จที่เหมาะกับทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณสมบัติเด่น:
- กระแสชาร์จสูงสุด 5A
- เหมาะสำหรับแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด 12V ขนาด 1.2 - 110Ah
- ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านช่างก็สามารถใช้งานได้
- รุ่นขายดีที่สุดในปัจจุบัน รับประกัน 5 ปี
- ชาร์จเต็มแล้วตัดไฟอัตโนมัติ
- มีระบบเลี้ยงไฟ คอยเติมไฟอัตโนมัติ สามารถชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเดือน
ให้รถคันโปรดของคุณพร้อมใช้งานเสมอ แม้ไม่ได้ขับออกไปไหนบ่อย ๆ สั่งซื้อเลยวันนี้!
25 ก.พ. 2568
27 มี.ค. 2568
27 มี.ค. 2568