การเตรียมความพร้อมก่อนขับรถ ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

Last updated: 30 ส.ค. 2567  |  175 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ใกล้ช่วงวันหยุดยาวหรือเทศกาลส่งท้ายปี เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจกำลังวางแผนขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือจำเป็นต้องเดินทางไกล ซึ่งนอกจากเรื่องของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว การเตรียมความพร้อมของทั้งสภาพรถและสภาพร่างกายของผู้ขับขี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างปลอดภัยและราบรื่น วันนี้ aprtech จะขอแชร์เทคนิคการเตรียมความพร้อมก่อนขับรถทั้งในด้านของยานพาหนะและผู้ขับขี่สำหรับการเดินทางในระยะไกล ที่ผู้ขับขี่ทุกคนไม่ควรมองข้าม!


ทำไมต้องเตรียมความพร้อมก่อนขับรถออกเดินทาง?

ก่อนออกเดินทางแต่ละครั้ง การเตรียมความพร้อมก่อนขับรถโดยการตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งาน เช่น ยางรถ น้ำมันเครื่อง ระบบเบรก ไฟส่องสว่าง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุขัดข้องระหว่างทาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตัวผู้ขับขี่และผู้ร่วมทางได้ นอกจากนี้ การวางแผนเส้นทางล่วงหน้าอย่างละเอียด รวมถึงตรวจสอบสภาพเส้นทาง จะช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมันและประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย


วิธีการเตรียมความพร้อมก่อนขับรถเดินทางไกล

หลังจากวางแผนเดินทางเรียบร้อยแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมความพร้อมของยานพาหนะ รวมถึงสมรรถภาพร่างกายของผู้ขับขี่ให้พร้อม โดยควรปฏิบัติตามเช็กลิสต์ต่อไปนี้

 

วิธีการเตรียมความพร้อมสำหรับรถยนต์

  • ตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์

ควรตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์ ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะแบตเตอรี่มีความสำคัญในการจุดระเบิดเครื่องยนต์ หากแบตเตอรี่มีปัญหา รถอาจสตาร์ทไม่ติด หรือมีปัญหาในการทำงานของระบบไฟฟ้าอื่น ๆ ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกและอันตรายในการขับขี่

 

  • เช็กยางรถยนต์

ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ควรตรวจสอบสภาพยางรถยนต์ให้พร้อมใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงดันลมยาง ควรเติมลมให้ตรงตามค่ามาตรฐานที่ระบุในคู่มือรถยนต์ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบสภาพยางรถยนต์ว่ามีรอยร้าว ฉีกขาด หรือปูดบวมหรือไม่ หากพบความผิดปกติใดๆ ควรรีบนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อซ่อมแซมหรือเปลี่ยนยางใหม่ทันที และอย่าลืมเตรียมยางอะไหล่พร้อมอุปกรณ์เปลี่ยนยางติดรถไว้เสมอ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ยางรั่วหรือระเบิดระหว่างทาง

 

  • ตรวจสอบระบบเบรก

ระบบเบรกเป็นอีกหนึ่งระบบความปลอดภัยภายในรถที่สำคัญ หากเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่าต้องกดเบรกลึกกว่าปกติ หรือต้องดึงเบรกมือสูงขึ้นกว่าปกติ แสดงว่ามีอาการผ้าเบรกเสื่อม ควรเปลี่ยนผ้าเบรกทันที นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตอาการผิดปกติได้จากไฟสัญญาณเตือนบริเวณหน้าปัด เสียงเอี๊ยดอ๊าด หรือกลิ่นเหม็นไหม้เมื่อเหยียบเบรก เป็นต้น

 

  • วัดระดับของเหลวทั้งหมดในรถ

 

น้ำมันหล่อลื่นและของเหลวต่าง ๆ ภายในรถถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์ รวมถึงช่วยในการทำงานของรถให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น

 

น้ำมันเครื่อง : น้ำมันเครื่องจะทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในเครื่องยนต์ เพื่อลดการเสียดสีและการสึกหรอ หากน้ำมันเครื่องมีปริมาณน้อยเกินไป จะทำให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอได้ง่าย จึงควรตรวจเช็กน้ำมันเครื่องเป็นประจำโดยการนำก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องเสียบเข้าไปในจุดตรวจเช็ก และสังเกตว่าน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดมีปริมาณเท่าไร โดยควรอยู่ระหว่างขีด F และ L หากต่ำกว่านั้นควรเติมน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม


น้ำมันเบรก : ควรเช็กน้ำมันเบรกภายในกระปุกให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าขีด Min แต่ไม่เกินขีด Max และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุก ๆ 1-2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร เพื่อป้องกันน้ำมันเบรกเสื่อมสภาพจากความร้อน การดูดซับความชื้น และการใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลให้ระบบเบรกทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ และอาจเกิดอันตรายได้

 

น้ำมันเกียร์ : สำหรับรถเกียร์กระปุก น้ำมันเกียร์มีหน้าที่หล่อลื่น ระบายความร้อน และป้องกันการสึกหรอ ส่วนในระบบเกียร์อัตโนมัติ น้ำมันเกียร์จะช่วยในการส่งกำลังให้ระบบไฮดรอลิกทำงาน และควบคุมแรงดันในการเปลี่ยนเกียร์ การดูแลระดับน้ำมันเกียร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยระดับน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมจะต้องไม่เกินกว่าขีด Max ของฝั่ง Hot เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน


น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ : น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์จะทำหน้าที่ในการส่งกำลังจากพวงมาลัยไปสู่ระบบบังคับล้อ ช่วยให้บังคับพวงมาลัยได้ง่ายขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องออกแรงเยอะ ซึ่งหากพวงมาลัยเริ่มหนักขึ้นและบังคับได้ยาก อาจเป็นสัญญาณว่าน้ำมันเพาเวอร์กำลังเสื่อมสภาพ จึงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามระยะทางหรือระยะเวลาที่ระบุไว้ในคู่มือ


น้ำฉีดกระจกหน้ารถ
หากจำเป็นต้องขับรถไปยังพื้นที่ที่มีมลภาวะ ฝุ่น หรือสิ่งสกปรก ควรเช็กระดับน้ำในถังน้ำฉีดกระจกให้อยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยสามารถเติมด้วยน้ำประปาที่สะอาดหรือผสมกับน้ำยาฉีดกระจกในอัตราส่วนที่เหมาะสมได้ แต่ไม่ควรผสมสารทำความสะอาดอื่น ๆ อย่างน้ำยาล้างจานหรือสบู่เหลวเพราะอาจทำให้ท่ออุดตันได้

 

น้ำยาหล่อเย็น : น้ำยาหล่อเย็นจะช่วยในการระบายความร้อนให้กับหม้อน้ำรถยนต์ หากระดับน้ำยาหล่อเย็นอยู่ต่ำกว่าขีด Min หรือ Low อาจเกิดจากการที่หม้อน้ำรั่ว ซึ่งหากฝืนขับต่อไปเรื่อย ๆ จะทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดจนเกิดอาการ Overheat ดังนั้น ควรตรวจสอบหม้อน้ำและท่อยางต่าง ๆ ให้ละเอียด หากพบความผิดปกติ ควรนำรถเข้าศูนย์บริการโดยเร็วที่สุด

 

  • ตรวจเช็กการทำงานของระบบไฟฟ้า

ควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าของรถยนต์ให้ครบถ้วน ทั้งระบบสตาร์ท ไฟเลี้ยว ไฟหรี่ ไฟสูง และไฟภายในห้องโดยสาร เพื่อให้มั่นใจว่าใช้งานได้ตามปกติ หากพบปัญหาใด ๆ ควรรีบแก้ไขโดยทันที เนื่องจากระบบไฟฟ้ามีความสำคัญต่อความปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะไฟเลี้ยว เพราะหากระบบไฟเลี้ยวขัดข้อง อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

 

  • ทดสอบระบบเครื่องปรับอากาศ

เนื่องจากภายในรถยนต์มีพื้นที่คับแคบและอากาศถ่ายเทได้ยาก ระบบแอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กับส่วนอื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าแอร์ทำงานได้ตามปกติ ควรตรวจเช็กน้ำยาแอร์ ไส้กรองอากาศ แผงคอยล์ร้อน และตรวจหารอยรั่วตามจุดต่าง ๆ หากพบอาการผิดปกติใด ๆ ควรรีบนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็กและซ่อมแซมทันที

 

  • เตรียมชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินติดรถไปด้วยเสมอ

ก่อนเดินทางควรเตรียมอุปกรณ์และอะไหล่สำหรับกรณีฉุกเฉิน เช่น ยางอะไหล่ แม่แรง ประแจ สายพ่วงแบตเตอรี่ ค้อนนิรภัย ถังดับเพลิงขนาดเล็ก เป็นต้น เพื่อใช้สำหรับการแก้ปัญหาเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง

 

วิธีการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์

นอกจากการดูแลและตรวจสอบรถยนต์ให้พร้อมแล้ว ผู้ขับขี่ควรเตรียมความพร้อมด้านร่างกายก่อนขับรถ เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุรวมถึงช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ตามวิธีการดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

ก่อนเดินทาง ผู้ขับขี่ควรมีการเตรียมความพร้อมก่อนขับรถ โดยควรพักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ควรฝืนขับรถต่อเมื่อรู้สึกง่วงหรือเหนื่อยล้า เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทั้งตัวเองและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ

  • งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และใช้สารเสพติดก่อนหรือระหว่างขับรถ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเป็นอันตราย นอกจากจะส่งผลต่อความสามารถในการขับขี่แล้ว ยังอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ 

  • ไม่รับประทานยาที่มีฤทธิ์กดประสาท

ยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เช่น ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ยาคลายเครียด หรือยานอนหลับ สามารถทำให้เกิดอาการง่วงซึม มึนงง และทำให้มีปฏิกิริยาตอบสนองช้า ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการขับขี่อย่างมาก ผู้ขับขี่จึงควรหลีกเลี่ยงการทานยาเหล่านี้ก่อนขับรถ

  • เตรียมยาให้พร้อมหากมีโรคประจำตัว

หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขับขี่ได้หากเกิดอาการกำเริบ ควรทานยาหรือเตรียมยาให้พร้อมระหว่างเดินทาง หรือหากรู้สึกไม่สบาย หรือมีอาการผิดปกติใดๆ ขณะขับรถ ควรหาที่จอดรถปลอดภัยและพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนที่จะเดินทางต่อ

  • ไม่ขับขี่หากมีอาการง่วง ให้จอดพักก่อน

การขับรถในยามวิกาลมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ขับขี่เกิดอาการง่วงได้ ดังนั้นหากรู้ตัวว่าไม่สามารถฝืนขับขี่ต่อได้ควรหาจุดพักรถหรือที่พักเพื่อนอนหลับหรืองีบให้รู้สึกดีขึ้น

  • หากต้องขับรถเดินทางไกล ควรมีเพื่อนร่วมทาง

เนื่องจากการขับรถเดินทางไกลในระยะเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดความเหนื่อยล้าสะสม จึงควรมีเพื่อนร่วมทางเพื่อช่วยเปลี่ยนกันขับรถเป็นระยะ ๆ หรือเป็นเพื่อนสนทนาเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อ ง่วงซึม และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการหลับใน

 

 

ข้อควรระวังขณะขับขี่รถยนต์ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนขับรถ

นอกจากการเตรียมความพร้อมก่อนการขับรถแล้ว การใช้รถยนต์ด้วยความระมัดระวังก็เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ขับขี่ควรคำนึงถึงข้อควรระวังต่าง ๆ ในระหว่างการขับขี่ ดังนี้


  1. ขับรถอย่างมีสติตลอดเวลา

    เพื่อความปลอดภัย ควรมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการขับขี่อย่างเต็มที่ ไม่ควรประกอบกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การใช้โทรศัพท์ หรือการรับประทานอาหารขณะขับขี่ เนื่องจากอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดคิด การขับรถอย่างมีสติจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี
  2. ใช้ความเร็วให้เหมาะสม

    การขับรถโดยใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากผู้ขับขี่จะมีระยะเวลาในการชะลอรถน้อยลง อีกทั้งยังทำให้ควบคุมรถได้ยากยิ่งขึ้น

  3. ควรเว้นระยะห่างระหว่างรถให้เพียงพอ

    การขับรถประชิดคันหน้ามากเกินไป อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุจากการชนท้ายได้ หากรถคันหน้าเบรกกะทันหัน เพราะจะมีระยะในการชะลอและหยุดรถที่น้อยลง และหากขับด้วยความเร็วสูงก็จะยิ่งทำให้ปะทะรุนแรงขึ้นจนอาจถึงแก่ชีวิตได้

  4. สังเกตสัญญาณไฟ และ ป้ายจราจร

    การขับรถโดยเคารพกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัดจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับรถได้ ผู้ขับขี่จึงควรสังเกตสัญญาณไฟและป้ายจราจร รวมถึงศึกษาลักษณะการขับขี่ในแต่ละพื้นที่ให้ดี เช่น ในบางพื้นที่ไม่สามารถเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดได้ หรือบางแยกเป็นแยกที่เป็นไฟเหลืองกะพริบ ผู้ขับขี่จึงควรชะลอและรอให้ปลอดภัยจึงขับไปต่อ


การเตรียมความพร้อมก่อนขับรถ ถือเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ควรให้ความสำคัญ เพื่อให้การเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่นและปลอดภัย โดยเฉพาะหากต้องเดินทางไกลไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดหรือจำเป็นต้องขับรถเดินทางในเวลากลางคืน สภาพรถที่สมบูรณ์และสมรรถภาพของผู้ขับขี่ที่เตรียมพร้อมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และช่วยประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี

 

เตรียมความพร้อมก่อนขับรถ ด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK

 เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK จากสวีเดน โดดเด่นด้วยโปรแกรมการชาร์จอัจฉริยะ 8 ขั้นตอน โดยจะชาร์จด้วยกระแสไฟสูงสุด 5A จนถึง 80% ของความจุแบตเตอรี่ จากนั้นจะค่อย ๆ ลดกระแสลงและตัดการจ่ายไฟโดยอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม 100% ช่วยป้องกันการชาร์จเกิน (Overcharge) อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณสามารถเสียบชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะเสียหาย ลดความยุ่งยากในการดูแลรักษา ไม่จำเป็นต้องคอยนั่งเฝ้า หรือต้องเอารถไปวนขับเพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ ถึงแม้จะจอดถึงไว้นานก็มั่นใจได้ว่ารถจะสตาร์ทติดทุกครั้งที่ใช้งาน

โดยรุ่นที่อยากแนะนำคือ CTEK MXS 5.0 เครื่องชาร์จที่เหมาะกับทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณสมบัติเด่น:

- กระแสชาร์จสูงสุด 5A
- เหมาะสำหรับแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด 12V ขนาด 1.2 - 110Ah
- ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านช่างก็สามารถใช้งานได้
- รุ่นขายดีที่สุดในปัจจุบัน

เตรียมความพร้อมก่อนขับรถพร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อ หมดปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสตาร์ทไม่ติด ซื้อ CTEK เลยวันนี้!

 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้