Last updated: 31 ก.ค. 2567 | 1844 จำนวนผู้เข้าชม |
การแข่งรถ ถือเป็นกีฬามอเตอร์สปอร์ตอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยเสน่ห์ด้านความเร็วอันน่าเร้าใจ เต็มไปด้วยความท้าทาย และน่าตื่นเต้น แต่นอกจากเรื่องของฝีมือและสมรรถนะของนักกีฬาและรถแข่งแล้ว สนามแข่งรถยนต์ที่มีมาตรฐาน ข้อกำหนดทางเทคนิคต่าง ๆ ถูกต้องตามกฎระเบียบและมีการออกแบบสนามแข่งอย่างปลอดภัย ก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม วันนี้ APRTECH จะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสนามแข่งรถในไทย ตอบโจทย์นักแข่งและผู้รักความเร็วที่อยากทดสอบฝีมือการขับขี่ของตัวเอง
สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ตั้งอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2557 ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังชาวเยอรมันอย่าง Hermann Tilke ซึ่งสนามนี้ถือได้ว่าเป็นสนามที่ยิ่งใหญ่ ทันสมัย มีมาตรฐานความปลอดภัย และได้รับการรับรองในระดับ FIA สนามแข่งรถยนต์แห่งนี้ยังมีพื้นที่มากกว่า 1,200 ไร่ ระยะทางต่อรอบ 4.554 กิโลเมตร ประกอบด้วยโค้ง 12 โค้ง สามารถรองรับผู้ชมได้สูงสุดถึง 50,000 คน อีกทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นสนามแข่งขัน MotoGP ประเทศไทยอย่างเป็นทางการอีกด้วย
สนามพีระ หรือ สนามแข่งรถพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 164 ไร่ ในจังหวัดชลบุรีเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2528 โดยแต่เดิมมีชื่อว่า พัทยาเซอร์กิต และได้เปลี่ยนชื่อเป็น พีระเซอร์กิต ตามพระนามของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีระพงศ์ภาณุเดช ซึ่งนอกจากจะเป็นสนามแข่งรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดแล้ว สนามแห่งนี้ยังเป็นสนามแข่งรถยนต์ในไทยแห่งแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก FIA โดยมีระยะทางอยู่ที่ 2,410 เมตร และมีโค้งทั้งหมด 13 โค้ง
บางแสน สตรีท เซอร์กิต หรือ สนามบางแสน เป็นสนามแข่งรถประเภทสตรีทเซอร์กิตระดับสากล แห่งแรกและแห่งเดียวในไทยที่ได้รับการรับรองจาก FIA ให้เป็นสนามประเภท FIA Grade 3 ซึ่งเหมาะกับการจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบหลากหลายรายการโดยจุดเด่นของสนามแข่งรถยนต์แห่งนี้ อยู่ตรงที่การปิดถนนเลียบชายหาดบางแสน เพื่อทำเป็นสนามแข่ง เหมาะสำหรับนักแข่งที่ชื่นชอบความท้าทาย และต้องการพิสูจน์ฝีมือตัวเองกับสนามแข่งที่มีความกว้างจำกัด รวมถึงสัมผัสบรรยากาศวิวริมทะเลสวย ๆ ตลอดเส้นทางความยาว 3.754 กิโลเมตร
สนามแข่งรถไทยแลนด์เซอร์กิต นครปฐม สนามแข่งรถระดับนานาชาติบนพื้นที่ 20-30 ไร่ โดยแรกเริ่มเคยเป็นสนามแข่งโมโตครอสมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 และมีการปรับปรุงรวมถึงก่อสร้างเพิ่มเติมจนมีระยะทางรอบสนามประมาณ 2.5 กิโลเมตร ถือเป็นอีกหนึ่งสนามที่มีมาตรฐานระดับประเทศซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่จัดแข่งขันในหลากหลายทัวร์นาเมนต์ โดยมีทั้งสนามแข่งรถทางเรียบ สนามซูเปอร์ครอส และสนามวิบาก เหมาะสำหรับนักแข่งที่ชื่นชอบความท้าทาย รวมถึงนักแข่งมือใหม่ที่กำลังมองหาพื้นที่สำหรับฝึกซ้อมทักษะในการขับขี่ให้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น
สนามบางกอก แดรก อเวนิว หรือที่รู้จักกันในชื่อ สนามแข่งรถคลอง 5 เป็นอีกหนึ่งสนามแข่งรถในไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล โดยมีระยะทางของสนามอยู่ที่ 402 เมตร เหมาะสำหรับการแข่งขันทางตรงโดยเฉพาะ ให้บริการสำหรับการแข่งขันทั้งรถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับนักแข่ง และอัฒจรรย์ข้างสนามที่สามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 1,000 คน
สนามแข่งอิมแพ็ค สปีด พาร์ค โกคาร์ท สนามแข่งรถโกคาร์ทระบบไฟฟ้าแห่งใหม่ในไทยอีกหนึ่งแห่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล โดยเปิดให้บริการทั้งรถโกคาร์ทแบบที่นั่งเดียวระบบไฟฟ้า และแบบ 2 ที่นั่งระบบพลังงานเชื้อเพลิง ภายในสนามแข่งรถมีระยะทางยาวสูงสุดถึง 800 เมตร นอกจากนี้ ในแต่ละเดือนทางสนามก็จะมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางในการขับขี่ที่แตกต่างกันออกไป เหมาสำหรับนักแข่งที่ชื่นชอบความเร็วและคามท้าทาย หรือใครที่อยากลองทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัว ทางสนามก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้ลองฝึกขับโกคาร์ทในสนามได้เช่นกัน
สนามแข่งแก่งกระจาน เซอร์กิต เป็นหนึ่งในสนามแข่งรถยนต์ที่สวยที่สุดในไทย โดดเด่นด้วยพื้นที่สีเขียวพร้อมวิวทิวทัศน์ภูเขารอบสนามแข่ง โดยไฮไลต์ของสนามแห่งนี้ อยู่ที่ทางชันต่างระดับ ขึ้น-ลง ในจุดที่สูงสุดและต่ำสุดต่างกัน 18 เมตร และทางโค้งจำนวนถึง 25 โค้ง อีกทั้งยังสามารถปรับรูปแบบสนามได้ถึง 3 รูปแบบ คือสนามแบบเต็มความยาว 2.912 กม. แบบกลาง 2.400 กม. และแบบสั้น 1.400 กม. ถือเป็นอีกหนึ่งสนามปราบเซียนสำหรับเหล่านักแข่ง เพราะนอกจากจะต้องควบคุมเวลาต่อรอบให้ดีแล้ว ยังต้องใช้ทักษะในการขับรถเป็นอย่างมากอีกด้วย
การเตรียมพร้อมคือกุญแจสู่ชัยชนะ! ไม่ว่าจะเป็นนักแข่งมือใหม่หรือมืออาชีพ การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการคว้าชัย รวมถึงเพื่อความปลอดภัยบนสนามแข่งรถ มาดูกันว่ามีขั้นตอนสำคัญอะไรบ้างที่ควรทำก่อนจะก้าวเท้าลงสู่สนาม
อุปกรณ์การแข่งรถที่ได้มาตรฐาน ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักแข่งหลาย ๆ คนไม่ควรมองข้าม เพราะมอเตอร์สปอร์ตเป็นกีฬาที่มีความเสี่ยงและอันตรายที่ค่อนข้างสูง ผู้ขับขี่จึงจำเป็นต้องสวมใส่อุปกรณ์การแข่งรถ ไม่ว่าจะเป็น หมวกกันน็อก ชุดแข่ง ถุงมือ รองเท้า เกราะกันกระแทก ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน FIA
ก่อนการแข่งขัน ควรนำรถไปตรวจเช็กสภาพอย่างละเอียดกับช่างผู้ชำนาญ เพื่อให้แน่ใจว่ารถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสูงสุด โดยช่างจะทำการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เปลี่ยนอะไหล่ที่สึกหรอ ตรวจสอบระบบเบรก ยาง เติมน้ำมัน และเติมลมยางให้เหมาะสม ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยป้องกันปัญหาหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันได้
การขับขี่ยานพาหนะสำหรับกีฬามอเตอร์สปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์ โกคาร์ท หรือซูเปอร์คาร์ ล้วนต้องอาศัยทักษะความว่องไวและความแข็งแรงของร่างกาย นักกีฬาจึงควรฝึกฝนร่างกายให้พร้อม โดยเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อขา ซึ่งช่วยให้นักแข่งควบคุมรถได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้ ในช่วงก่อนการแข่งขัน นักกีฬาควรพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความวิตกกังวลหรือความเครียดซึ่งอาจส่งผลต่อสมรรถภาพการขับขี่ได้
เนื่องจากสนามแข่งรถมีทั้งรูปแบบ Circuit และ Drag ซึ่งมีลักษณะสนาม ระยะทาง และทิศทางที่แตกต่างกันออกไป ผู้แข่งขันจึงควรทำความเข้าใจลักษณะของสนามที่ลงแข่งขันว่าเป็นแบบใด มีเส้นทางลาดชัน ทางโค้ง มากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดสิทธิ์ทั้งตอนก่อนแข่ง ระหว่างแข่ง หรือหลังการแข่งขัน ผู้แข่งควรศึกษากฎกติกาของแต่ละสนามที่จะเข้าร่วมการแข่งขันไว้ล่วงหน้า รวมทั้งศึกษาสัญลักษณ์ สัญญาณต่าง ๆ และมารยาทในการขับขี่ตามมาตรฐานสากล
ทั้งหมดนี้คือ 7 สนามแข่งรถยนต์ในไทย สำหรับคนรักความเร็ว ซึ่งแต่ละสนามมีเอกลักษณ์และความท้าทายที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม การขับรถแข่งไม่ใช่เรื่องของความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและการเตรียมพร้อมด้วย โดยอุปกรณ์สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือ เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK แบรนด์สวีเดน ที่เจ้าของรถทั่วโลกให้การยอมรับ มั่นใจได้ว่าแบตเตอรี่รถของคุณจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานเสมอ ถึงแม้จะถูกจอดทิ้งไว้เป็นเวลานาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่สนามแข่งหรือบนท้องถนนก็ตาม อย่าให้ปัญหารถสตาร์ทไม่ติดมาเป็นอุปสรรค ดูแลแบตเตอรี่ด้วย CTEK
เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK มาพร้อมเทคโนโลยีการชาร์จอัจฉริยะ 8 ขั้นตอน ชาร์จด้วยกระแสไฟสูงสุด 5A จนถึง 80% ของความจุแบตเตอรี่ จากนั้นจะค่อย ๆ ลดกระแสลงและตัดการจ่ายไฟโดยอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม 100% ช่วยป้องกันการชาร์จเกิน (Overcharge) อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณสามารถเสียบชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะเสียหาย ลดความยุ่งยากในการดูแลรักษา ไม่จำเป็นต้องคอยนั่งเฝ้า หรือต้องเอารถไปวนขับเพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่อีกต่อไป
ขอแนะนำ CTEK MXS 5.0 เครื่องชาร์จที่เหมาะกับทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณสมบัติเด่น:
- กระแสชาร์จสูงสุด 5A
- เหมาะสำหรับแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด 12V ขนาด 1.2 - 110Ah
- ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านช่างก็สามารถใช้งานได้
- รุ่นขายดีที่สุดในปัจจุบัน
อย่าให้แบตเตอรี่อ่อนมาเป็นอุปสรรคในการสัมผัสประสบการณ์ความเร็ว ซื้อเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK วันนี้
21 มิ.ย. 2567
12 เม.ย 2567
18 พ.ย. 2567
18 พ.ย. 2567