Last updated: 29 มี.ค. 2567 | 69417 จำนวนผู้เข้าชม |
แบตเตอรี่ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ที่เราต้องใส่ใจและให้ความสำคัญ เราจึงควรเลือกซื้อแบตเตอรี่ที่มียี่ห้อ มีคุณภาพ มีมาตรฐานเชื่อถือได้ อย่าเลือกซื้อแบตเตอรี่ราคาถูกที่ไม่มีคุณภาพ เพราะแบตเตอรี่ที่ไม่มีมาตรฐานอาจมีอายุการใช้งานสั้น หรือส่งผลเสียต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในรถ ดังนั้นเราจึงควรเลือกซื้อแบตเตอรี่ที่มีมาตรฐาน มีการระบุค่า CCA ชัดเจน และ ค่า CCA นั้นต้องไม่ต่ำกว่าแบตเตอรี่เดิมที่ใช้อยู่ ซึ่งคุณรู้หรือไม่ว่าค่า CCA แบตเตอรี่คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรทำไมถึงไม่ควรมองข้าม วันนี้ APRTECH มีคำตอบครับ
ค่า CCA แบตเตอรี่ (Cold Cranking Amps) คือ ค่ากระแสไฟฟ้าสูงสุดที่แบตเตอรี่สามารถจ่ายได้ภายใน 30 วินาที ที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส โดยแรงดันไฟฟ้าที่ขั้วแบตเตอรี่จะไม่ลดลงต่ำกว่า 7.2 โวลต์ ค่า CCA ถือเป็นค่าที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้าเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ ยิ่งค่า CCA สูงมากเท่าไหร่ กำลังในการสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จะแรงมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าหากค่า CCA แบตเตอรี่ต่ำ แบตเตอรี่ลูกนั้นจะมีกำลังในการสตาร์ทน้อย อาจทำให้เราสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ยากหรือสตาร์ทไม่ติดเลยในช่วงที่อากาศเย็น
ซึ่งแบตเตอรี่ที่มีมาตรฐานจะระบุค่า CCA ไว้บนตัวแบตอย่างชัดเจน เราจึงไม่ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ที่ไม่ระบุค่า CCA เพราะมีความเสี่ยงที่จะได้แบตที่ไม่มีมาตรฐานและมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกติ นอกจากนั้น เราก็ควรเลือกซื้อแบตเตอรี่ที่มีค่า CCA ที่เหมาะสมกับรถยนต์ที่ใช้ด้วย โดยค่า CCA ที่แนะนำสำหรับรถยนต์ทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 500-600 CCA สำหรับรถขนาดเล็ก และประมาณ 700-800 CCA สำหรับรถขนาดใหญ่ หรือหากคุณไม่แน่ใจว่าควรเลือกซื้อแบบไหน ก็ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีค่า CCA มากกว่าหรือเท่ากับแบตเตอรี่อันเดิมจะดีที่สุดครับ
ค่า CCA มีความสำคัญกับประเทศเมืองหนาว เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีสภาพอากาศหนาวเย็นมากกว่าประเทศเขตร้อน โดยอุณหภูมิเฉลี่ยอาจต่ำกว่า -18 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดได้ยากขึ้น การเลือกซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้งานบนทวีปยุโรปหรือโซนหนาว จึงจำเป็นต้องเลือกแบตเตอรี่ที่มีค่า CCA สูงเข้าไว้ เพื่อให้การสตาร์ทเครื่องยนต์ทำได้ง่ายและไม่มีปัญหาตามมา
ตัดภาพมาที่ประเทศไทย สภาพอากาศโดยทั่วไปไม่ได้หนาวเย็นขนาดนั้น โดยอุณหภูมิเฉลี่ยช่วงหน้าหนาวอาจอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส แต่อย่างไรก็ตาม ค่า CCA ก็ยังคงมีความสำคัญอยู่ เนื่องจากค่า CCA บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการจ่ายไฟเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ ยิ่งค่า CCA สูงมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จะสูงตามไปด้วยเท่านั้น
การวัดค่า CCA นั้นใช้มาตรฐานที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศหรือภูมิภาค โดยมาตรฐานที่ได้รับความนิยม ได้แก่
ซึ่งในประเทศไทยนั้น มาตรฐานที่ใช้วัดค่า CCA แบตเตอรี่ส่วนใหญ่ คือมาตรฐาน SAE เนื่องจากประเทศไทยเป็นสมาชิกของ SAE หรือ สมาคมวิศวกรยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกานั่นเอง
ตารางตัวอย่าง CCA ขั้นต่ำสำหรับเครื่องยนต์แต่ละขนาด
ควรมีค่า CCA ประมาณ 20-30% ของขนาดเครื่องยนต์ครับ โดยสามารถคำนวณเพื่อหาค่า CCA ที่เหมาะสมกับรถของคุณได้จากสูตรดังนี้
ค่า CCA ที่เหมาะสม = ขนาดเครื่องยนต์ (cc) x 0.13
ยกตัวอย่างเช่น เครื่องยนต์ที่มีขนาด 2,500 cc จะต้องการ CCA ที่เหมาะสมประมาณ 325 แอมป์ (2,500 x 0.13 = 325) เป็นอย่างน้อยอย่างไรก็ตาม ค่า CCA ที่เหมาะสมอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น สภาพอากาศ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ติดตั้งในรถยนต์ เป็นต้น
ตามมาตรฐาน SAE ค่า CCA ของแบตเตอรี่ใหม่ ควรอยู่ที่ 450
อายุของแบตเตอรี่รถยนต์ทั่วไปขึ้นอยู่กับคุณภาพของแบตเตอรี่ พฤติกรรมการใช้รถ และการดูแลรักษา แบตเตอรี่ที่คุณภาพดีค่า CCA จะสูง ราคาก็แพงกว่า ค่า CCA จะค่อย ๆ ลดลงตามเวลา หากใช้รถเป็นประจำ แบตเตอรี่มีการเติมประจุไฟเต็มอยู่ตลอดเวลา ค่า CCA จะลดลงอย่างช้า ๆ แต่แบตเตอรี่รถที่จอดทิ้งนาน ค่า CCA แบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อต่ำมากถึงระดับหนึ่งแบตเตอรี่ก็จะเสื่อม เกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติด การดูแลแบตเตอรี่ที่ดีจะช่วยชะลอการลดลงของค่า CCA
แบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุดคือแบตเตอรี่ที่มีไฟเต็มอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากคุณใช้งานรถเป็นประจำ นำรถออกไปขับเกือบทุกวัน แบตเตอรี่ก็จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานเต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าคุณมีเหตุจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นเดือน ๆ ไม่มีโอกาสนำรถออกไปขับ คุณก็ควรใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์คอยชาร์จไฟให้เต็มอยู่ตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร เนื่องจากตัวแบตเตอรี่จะคายประจุไฟตลอดเวลาในช่วงที่เราไม่ได้ขับ ทำให้ไฟในตัวแบตอ่อนลงเรื่อย ๆ จนหมด ซึ่งถ้าหากเราปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบแก้ไข แบตเตอรี่ก็จะเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วและไม่สามารถใช้งานได้ในที่สุด
ดังนั้นที่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่เจ้าของรถสายจอดต่างเลือกใช้ เพราะ CTEK เป็นเครื่องชาร์จแบตเตอรี่อัจฉริยะ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี 8 ขั้นตอนการชาร์จลิขสิทธิ์เฉพาะจากประเทศสวีเดน โดย CTEK จะชาร์จไฟด้วยกระแสสูงสุดให้เต็มถึง 80% หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดกระแสลงพร้อมตัดไฟอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม 100% เพื่อป้องกันแบตเตอรี่ Overcharge ทำให้เราสามารถชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเดือนโดยไม่ทำให้แบตเตอรี่เสีย ไม่ต้องคอยสตาร์ทหรือเอารถไปวนขับให้สิ้นเปลืองน้ำมันอีกต่อไป
CTEK MXS 5.0 เป็นเครื่องชาร์จแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ มีกระแสชาร์จสูงสุด 5A สำหรับแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด 12V ขนาด 1.2 - 110Ah รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่มีความรู้เรื่องช่างก็สามารถใช้งานได้ ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติแทบทั้งหมด ตัวเครื่องนั้นมีขนาดเล็ก กะทัดรัด น้ำหนักเบา แต่ทนทานกันน้ำกันฝุ่น หากคุณกำลังมองหาเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ที่ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงมอเตอร์ไซค์หรือบิ๊กไบค์ CTEK MXS 5.0 ตอบโจทย์ความต้องการของคุณอย่างแน่นอน ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก CTEK MXS 5.0
18 พ.ย. 2567
18 พ.ย. 2567
21 มิ.ย. 2567