10 รถออฟโรด (Off Road) เท่ ๆ ดีไซน์สวย น่าขับ 2024

Last updated: 18 พ.ย. 2567  |  22 จำนวนผู้เข้าชม  | 

 

หากพูดถึงกิจกรรมเข้าป่าลุยน้ำ ไม่ว่าจะไปท่องเที่ยวหรือต้องเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร การเลือกรถยนต์ที่เหมาะสมกับกิจกรรมบุกน้ำ ลุยโคลนนั้นต้องเลือกรถที่ตอบโจทย์กับการเดินทางที่ยากลำบาก ขรุขระ โดยเฉพาะรถที่มีช่วงล่างยกสูงกว่าปกติและขับเคลื่อนสี่ล้อ อย่างรถออฟโรด ซึ่งเป็นรถที่ตอบโจทย์ด้านนี้ได้ดีที่สุด หากใครกำลังมองหารถออฟโรดไว้สักคัน ที่ทั้งดีไซน์สวย ฟังก์ชันการใช้งานครบครัน เทคโนโลยีที่ออกแบบมาอย่างดี  และเข้ากับไลฟ์สไตล์การใช้งานของผู้ขับขี่ได้ดีนั้น เราจะเลือกอย่างไร วันนี้ APRTECH ขอแนะนำ 10 รถ Off Road เท่ ๆ สมรรถนะดีเยี่ยม น่าขับ พร้อมจุดเด่นของรถออฟโรดในแต่ละรุ่น เพื่อประกอบการตัดสินใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหายานพาหนะสำหรับลุยป่าฝ่าดง พร้อมแล้ว ไปกันเลย!

 

รถออฟโรด คืออะไร?

รถออฟโรด คือ รถยนต์ที่มีการออกแบบมาเพื่อการขับขี่บนพื้นถนนที่ไม่มีการลาดยางด้วยคอนกรีต ผิวถนนขรุขระ ยากต่อการขับขี่บนท้องถนนปกติ โดยลักษณะพิเศษของรถ Off Road คือ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ช่วงล่างของรถจะยกสูงกว่าปกติและแข็งแกร่งมากกว่ารถทั่วไป เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมในป่า การขนส่งของ การปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกล และพื้นที่ที่ควบคุมการทรงตัวของรถได้ยาก 

โดยการขับรถ Off Road ต้องมีทักษะเฉพาะที่ต่างจากการขับรถทั่วไปเล็กน้อย เช่น การรู้จักมุมต่าง ๆ ของรถ จะช่วยป้องกันไม่ให้รถไปขูดกับสิ่งกีดขวางหรือกิ่งไม้จนเกิดความเสียหาย รวมถึงพื้นฐานการขับขี่อื่น ๆ ที่ควรศึกษาไว้เพื่อให้การขับรถออฟโรดของเราราบรื่นนั่นเอง


10 รถออฟโรด ดีไซน์เท่ น่าขับ

1. Ford Bronco Sport

Ford Bronco Sport รถ Crossover SUV รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับขนาดกะทัดรัด แต่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง มี 4 ประตู ส่วนห้องโดยสารมี 5 ที่นั่ง พร้อมการออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย ทันสมัย ใช้งานง่าย เบาะที่นั่งสามารถปรับอุณหภูมิได้ รองรับกับสรีระ และในปี 2025 นี้ มีการเพิ่มเทคโนโลยีระบบช่วยขับเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมแพ็กเกจใหม่ที่เสริมความสามารถการลุยออฟโรดให้มากขึ้นอย่าง Sasquatch นอกจากนี้ยังมีกันชนเหล็ก การป้องกันใต้ท้องรถมากขึ้น พร้อมยางที่ช่วยยึดเกาะพื้นผิวดีขึ้น และยังรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto อีกด้วย


2. Wrangler Rubicon

แบรนด์รถสายลุยที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่าง Jeep รถยนต์สัญชาติอเมริกันขนานแท้ ขึ้นชื่อในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน โดย Jeep Wrangler Rubicon เป็นรถ 4 ประตู 5 ที่นั่ง ที่ถ่ายทอดตัวตน ความดั้งเดิมของ Jeep ได้เป็นอย่างดีผ่านชื่อรุ่น Rubicon ซึ่งเป็นชื่อของเส้นทางออฟโรดที่โหดร้ายที่สุดใน California มาพร้อมกับฟังก์ชันพิเศษภายในรถที่สามารถเลือกถอดหลังคา หรือประตูออกได้ เพื่อให้ทุกคนสัมผัสความเป็นอิสระและเข้าถึงธรรมชาติ แต่อุปกรณ์ต่าง ๆ ย้ายมาอยู่ตรงคอนโซลกลางหรือโรลบาร์ เพื่อรองรับการลุยน้ำที่สามารถลงน้ำได้ลึกสุด 70 ซม. และที่เป็นจุดเด่นของ Jeep Wrangler Rubicon คือ ฟังก์ชัน Sway Bar ที่ช่วยชะลอความเร็วในทางลาดชัน และระบบ Tru-Lok ช่วยล็อกเฟืองท้าย ทำให้ล้อทั้ง 4 หมุนด้วยความเร็วระดับเดียวกันตลอดเวลา เพิ่มความสามารถในการควบคุมตัวรถและเพิ่มแรงตะกุย ในกรณีที่รถติดบ่อโคลนตม การข้ามแม่น้ำ หรือติดหลุมต่าง ๆ


3. Land Rover Defender

รถ SUV สัญชาติอังกฤษ หนึ่งในตำนานรถออฟโรด มาพร้อมกับดีไซน์คนเมืองที่ทันสมัย เป็นรถ 4 ประตู สามารถโดยสารได้ 5 ที่นั่ง ไฟหน้า Matrix LED พร้อมระบบเปิด - ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ และ DRL Signature ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ส่วนภายในรถ Land Rover Defender สามารถเลือกโทนสีห้องโดยสารได้หลากหลายสี เช่น สีขาว, สีดำ, สีเขียว ฯลฯ มาพร้อมกับเทคโนโลยีทันสมัยที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto รวมถึงเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่เพื่อให้การขับขี่และการจอดรถง่ายยิ่งขึ้น ส่วนการบรรทุกสามารถบรรทุกบนหลังคาขณะเคลื่อนที่ได้ 168 กก. และรองรับการลากจูงด้วยน้ำหนักสูงสุด 3,500 กก. มีระบบช่วยควบคุมทิศทางขณะลากจูง ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องถอยรถเข้าที่แคบหรือในพื้นที่จำกัด

 

4. Toyota 4Runner

Toyota 4Runner เป็นรถออฟโรดอีกรุ่นที่ใคร ๆ ต่างคิดถึง หลังจากหายหน้าไปนานนับสิบกว่าปี กลับมาเปิดตัวอีกครั้งในรุ่นปี 2025 โดยดีไซน์ภายนอกได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งรถในทะเลทราย Baja ซึ่งเป็นสนามทดสอบความแข็งแกร่งของรถออฟโรด มีภูมิประเทศแบบทะเลทราย หน้าผาสูงชัน และเนินทรายที่ลาดชัน ดีไซน์ของรถรุ่นนี้จึงเป็นตัวรถยกสูง ถังเพรียว ใช้กระจกสี่เหลี่ยมแบบดั้งเดิมที่มากับเครื่องยนต์ไฮบริด 4 ประตู ภายในห้องโดยสารมี 5 ที่นั่ง ตัวเบาะนั่งสามารถพับราบเพิ่มการเก็บสัมภาระได้มากขึ้น
ส่วนระบบส่งกำลังไฮบริด i-FORCE MAX ที่มีความพิเศษเฉพาะตัว ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 2.4 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า 48 แรงม้า และแบตเตอรี่ NiMH ขนาด 1.87 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ทำให้กลายเป็นระบบส่งกำลังที่ทรงพลังที่สุดใน Toyota 4Runner ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก และมาพร้อมกับระบบ Multi - Terrain Monitor ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นบนจอแสดงผลส่วนกลาง สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ และระบบกุญแจอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ท เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนเพื่อสั่งงาน ปลดล็อก ล็อกประตู และสตาร์ทรถจากระยะไกลได้อีกด้วย

 

5. Nissan Frontier

Nissan Frontier รถออฟโรดที่ให้กลิ่นอายของรถพิกอัปยุค 80 - 90 มาพร้อมกับรถ 4 ประตู 5 ที่นั่ง เบาะนั่ง Zero Gravity ที่ออกแบบให้มีรูปทรงโค้งเว้า เข้ากับสรีระร่างกาย กระจายน้ำหนักตัวได้ทั่วถึง ทำให้รู้สึกขับสบาย ไม่ปวดเมื่อย มีเทคโนโลยีด้านระบบที่ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน และระบบควบคุมการออกตัวบนทางลาดชันเป็นแบบมาตรฐาน รวมถึงระบบความปลอดภัย เช่น ระบบเบรกอัตโนมัติ, ระบบเตือนเมื่อเหนื่อยล้า, ระบบเตือนเมื่อขับรถออกนอกเส้นทาง ฯลฯ ในปี 2024 นี้สหรัฐฯ ได้เปิดตัว Nissan Frontier Forsberg Edition ดีไซน์ที่จะเปลี่ยนจากรถกระบะธรรมดากลายเป็นรถกระบะตัวแข่งในทะเลทราย โดยรองรับใน Nissan Frontier รุ่น Crew Cab 4 ประตู พร้อมกับชุดยก NISMO Off-Road ทำให้ช่วงล่างยกสูงกว่ารุ่นปกติ โช้คอัปประสิทธิภาพสูง ปรับเป็นล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมแผ่นรองล้อสำหรับไต่จากร่องหิน และระบบกันสะเทือน Frontier High Performance Suspension Kit เพื่อเสริมสมรรถนะของช่วงล่าง รวมถึงแร็คหลังคาแบบออฟโรด ราวเหล็กกันกระแทกด้านข้างของตัวรถ ตอบสนองต่อการขับแบบออฟโรดเป็นอย่างยิ่ง

 

6. Jeep Gladiator

รถ Off Road อีกรุ่นที่น่าสนใจจากแบรนด์ Jeep โดย Jeep Gladiator จะต่างกับ Jeep Wrangler ตรงที่ Jeep Gladiator เป็นรถกระบะที่มีฟังก์ชันเหมือนกับรถออฟโรดทั่วไป มี 4 ประตู 5 ที่นั่ง แต่ความพิเศษที่ทำให้รถคันนี้ไม่เหมือนรถออฟโรดคันอื่น ๆ คือ สามารถลุยได้ทุกที่พร้อม ๆ กับการบรรทุกของหนักได้อย่างเต็มพิกัด ซึ่งกระบะท้ายสามารถบรรทุกได้ 725 กก. ลากจูงได้ 3,470 กก. โดยแบ่งเครื่องยนต์ได้ 2 แบบ คือ เครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเครื่องยนต์เบนซินจะให้กำลังที่ดีและแรงบนทางเรียบ ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลให้แรงบิดสูง ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องลุยมากกว่า และฟังก์ชันที่ Jeep Wrangler มี ใน Jeep Gladiator ก็มีเช่นเดียวกัน อย่างระบบ Sway Bar และระบบ Tru - lok ที่ช่วยให้การขับรถออฟโรดสะดวกสบายขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่ครอบคลุมทุกการใช้งานทำให้มีข้อเสียในเรื่องของการกินน้ำมัน เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการขับในเมืองไปจนถึงการบรรทุกสิ่งของและงานที่ต้องลุยหนักนั่นเอง

 

7. Ford Ranger Wildtrak

Ford Ranger Wildtrak กระบะแกร่งที่รองรับการใช้งานได้ทุกสภาพถนน ทั้งในเมืองและป่าก็สามารถไปได้ทุกที่ มาพร้อมกับฟังก์ชัน เทคโนโลยีที่ช่วยให้ประสบการณ์การขับขี่ราบรื่นไร้อุปสรรค โดยสามารถปรับโหมดต่าง ๆ ตามการใช้งานในพื้นที่ที่ต่างกัน ได้แก่ โหมดถนนลื่น โหมดถนนขรุขระ และโหมดทราย รถรุ่นนี้รองรับได้ 5 ที่นั่ง มี 4 ประตู ไฟหน้าปรับมุมมองการขับขี่ได้ทุกช่วงเวลา ปรับแสงไฟหน้ารถตามสภาพแสงโดยรอบ รวมถึงป้องกันแสงไฟแยงตารถคันตรงข้าม ด้วยระบบเซนเซอร์ของ Matrix LED ช่วยตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบข้าง และมุมกล้องรอบคันรถ 360 องศาพร้อมมุมสูง (Bird Eye View) และหน้าจอ Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว ช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ปลอดภัยขึ้น ถอยจอดรถได้ง่ายยิ่งขึ้น และช่วยหลบหลีกมุมอับที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ

 

8. Toyota Hilux Revo

Toyota Hilux Revo นับเป็นรถกระบะ 4 ประตูที่มีสมรรถนะสูง ในด้านประสิทธิภาพการใช้งานของกระบะ Hilux ที่เคยชนะการแข่งขัน Dakar Rally ทำให้ Toyota Hilux กลายเป็นรถยอดนิยมที่ใคร ๆ ก็สามารถหาซื้อได้มายาวนานถึง 50 ปี โดยเฉพาะ Toyota Hilux Revo GR Sport 2024 ที่สามารถขับขี่ได้ทั้งแบบออฟโรดกับออนโรด ทั้งยังผ่านการทดสอบจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งไม่มีคนอยู่อาศัยในตอนกลางของประเทศ ประชากรส่วนมากจะนิยมอาศัยบริเวณขอบชายฝั่งเท่านั้น ดีไซน์ภายในเน้นความสปอร์ต ด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ไมโครไฟเบอร์เจาะรูพรุน เพื่อลดการอับชื้นและระบายอากาศได้ดี ในห้องโดยสารสามารถนั่งได้ 4 คน ส่วนประสิทธิภาพของระบบ Traction Control ช่วยป้องกันล้อหมุนฟรีในช่วงพื้นผิวที่ลื่นมาก ๆ ทำให้การถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ทำได้เป็นอย่างดี ช่วงล่างมีการขยายฐานล้อกว้างขึ้น ทำให้ลดอาการโคลง รู้สึกนิ่มนวลขึ้น โดยสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ทั้ง ECO โหมดประหยัดที่เหมาะกับการขับในเมือง หรือไม่รีบเร่ง และโหมด Power โหมดขับเคลื่อนที่รถจะตอบสนองได้ดีในการเร่งความเร็ว และยังมีระบบอื่น ๆ ที่ช่วยให้การขับรถเป็นเรื่องง่ายอีกด้วย เช่น ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำอัตโนมัติ, ช่องเก็บของแบบ Cool Box ฯลฯ

 

9. Mercedes Benz G-Class

Mercedes Benz G-Class เป็นรถออฟโรด 4 ประตูอีกคันที่ได้รับความนิยมในด้านรูปลักษณ์ที่คล้ายกล่อง ดูเท่ ไม่เหมือนรถเบนซ์ที่เราคุ้นเคย ซึ่งปัจจุบันรถรุ่นนี้จัดได้ว่าเป็นของหายาก ด้วยจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร คือ ประตูท้ายที่สามารถเปิดออกด้านข้างได้กว้างเกือบ 90 องศา ทำให้การขนของ ย้ายของทำได้สะดวก ส่วนภายในห้องโดยสาร 5 ที่นั่ง มีช่องเก็บของเยอะ ตอบโจทย์การใช้งานจริง และดีไซน์รถที่เป็นรูปกล่อง เพื่อป้องกันการกระแทกระหว่างตัวรถกับผู้โดยสาร และในกรณีที่ต้องขับรถขึ้นเขา หรือ ทางลาดชัน จะช่วยให้สามารถขับขี่ได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเรื่องเสียงรบกวนพร้อมให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าปกติ ในเรื่องของเครื่องยนต์ Mercedes Benz G-Class จะมีมุมไต่อยู่ที่ 31 องศา และ 30 องศา พร้อมความสามารถในการลุยน้ำที่สูงถึง 70 ซม. ทำให้ฝ่าน้ำท่วมได้สบาย และเป็นรถที่ครอบคลุมทั้งการวิ่งในเมือง หรือออกต่างจังหวัด

 

10. Porsche Cayenne

Porsche Cayenne ไม่ได้เป็นเพียงแค่รถ SUV หรู เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นรถที่สามารถตอบสนองความต้องการในการขับขี่แบบออฟโรดได้ โดยรถเป็นแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง มาพร้อมสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น Porsche Traction Management (PTM) ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ ช่วยกระจายแรงบิดไปยังล้อแต่ละล้ออย่างเหมาะสม เพื่อให้รถมีความเสถียรและควบคุมได้ง่าย, Porsche Active Suspension Management (PASM) ระบบช่วงล่างที่ปรับได้ตามสภาพการขับขี่ ช่วยให้รถมีความนุ่มนวลในการขับขี่บนถนนทั่วไป และมีความแข็งแกร่งเมื่อขับขี่บนทางออฟโรด และ Off-Road Precision App แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ สามารถปรับแต่งการตั้งค่ารถให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวที่แตกต่างกัน ถือเป็นรถอีกหนึ่งรุ่น ที่ตอบโจทย์คนรักความท้ายทายได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นบนถนนแบบ On Road หรือเส้นทาง Off Road ก็ตาม

 

เทคนิคการขับขี่รถ Off-Road

การขับขี่รถออฟโรด ไม่ได้มีเพียงแต่การขับขี่ตะลุยทางบนเขา หรือลุยแม่น้ำ ป่าไม้เท่านั้น แต่ยังมีเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้การขับขี่รถของเรามั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ให้สะดวกสบายตลอดการเดินทางนั่นคือ การลดแรงดันของยาง เพราะยางที่อ่อนเล็กน้อยจะช่วยยึดเกาะถนนที่มีพื้นผิวขรุขระและลดแรงกระแทกได้ในเวลาเดียวกัน แต่ต้องทำอย่างระมัดระวังและอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้ผลิตยาง เพราะหากลดแรงดันลมยางมากเกินไป อาจทำให้ยางเสียรูปได้ง่าย และทำให้การเกาะถนนลดลง ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งโดยเฉพาะในทางเรียบหรือทางโค้ง
รวมถึงหากพื้นผิวยางสัมผัสพื้นผิวถนนได้มากเท่าไร ก็จะช่วยกระจายน้ำหนักให้สมดุลมากขึ้นตามไปด้วย และการขับรถช้า ๆ ช่วยให้ระบบกันกระเทือนของรถยนต์รับมือกับแรงกระทบได้ดีกว่า ทำให้การขับขี่นุ่มนวล และสะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้มีเวลาคิดก่อนตัดสินใจเมื่อเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อีกด้วย

 

เตรียมตัวก่อนออกทริปออฟโรด

ก่อนออกเดินทางด้วยรถ Off Road ควรตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้แน่ใจว่าพร้อมใช้งานมากที่สุด ทั้งเติมน้ำมันให้เต็มถัง เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ไปด้วยทุกครั้ง เช่น ยางสำรอง, อุปกรณ์เปลี่ยนยาง, ชุดปฐมพยาบาล, เครื่องปั๊มลมแบบพกพา, เชือกสำหรับลากรถ และอื่น ๆ


สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง คือ การทำความเข้าใจในเรื่องการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกันตามแต่ละภูมิประเทศ และวางแผน ศึกษาเส้นทางก่อน เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีลักษณะพื้นผิวถนนที่แตกต่างกันทั้งพื้นทราย, ดินโคลน, พื้นหิน ฯลฯ โดยแต่ละพื้นผิวถนนจำเป็นต้องใช้เทคนิคในการขับขี่ที่แตกต่างกัน เพื่อความปลอดภัยและสนุกไปกับการเดินทาง หากใช้ฟังก์ชันไม่เหมาะสมกับพื้นที่นั้น ๆ รถอาจสูญเสียการควบคุมและเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาระหว่างเดินทาง


นอกจากนี้ยังแนะนำให้ชวนเพื่อนขับรถออฟโรดไปด้วยกันอย่างน้อย 2 คัน เผื่อเกิดเหตุรถคันใดคันหนึ่งติดหล่ม หรือเกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างเดินทางก็จะสามารถช่วยเหลือกันได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย

การออกผจญภัยบนเส้นทางออฟโรดที่ท้าทาย ต้องอาศัยความพร้อมของรถยนต์เป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรี่ที่เปรียบเสมือนหัวใจหลักของรถยนต์ทุกคัน คุณคงไม่อยากให้รถของคุณแบตเตอรี่หมดสตาร์ทไม่ติดกลางป่าใช่หรือไม่

 

เตรียมพร้อมรถออฟโรด ด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ CTEK

 

รถ Off Road เป็นรถกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม สตาร์ทไม่ติด เพราะเป็นรถที่ไม่ได้ใช้ทุกวัน จอดนานเป็นส่วนใหญ่ กว่าจะได้ขับก็ตอนออกทริป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานยาวนานเต็มประสิทธิภาพ ด้วย เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถ CTEK จากสวีเดนที่ได้รับความไว้วางใจผลิตเครื่องชาร์จแบตฯ ให้กับรถยนต์ชั้นนำมากที่สุดในโลก เช่น Mercedes-Benz, Porsche, Rolls-Royce, Lamborghini, Ferrari, McLaren, Bentley, Maserati, BMW, Mini, Audi, Jaguar, Lexus, Koenigsegg, Chrysler, Jeep และอื่น ๆ อีกมากมาย


โดยรุ่นที่แนะนำคือ CTEK MXS 5.0 เครื่องชาร์จที่เหมาะกับทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณสมบัติเด่น:
- กระแสชาร์จสูงสุด 5A
- เหมาะสำหรับแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด 12V ขนาด 1.2 - 110Ah
- ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านช่างก็สามารถใช้งานได้
- รุ่นขายดีที่สุดในปัจจุบัน

ให้แบตเตอรี่รถ Off Road ของคุณพร้อมใช้งานเสมอ มั่นใจทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเส้นทางไหนก็เอาอยู่ สั่งซื้อ CTEK เลยวันนี้!

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้